Posted on

เคล็ดลับออมเงินให้รวย

เงินเป็นสิ่งที่หายาก แต่ถ้าเรารู้จักการเก็บออม ในยามฉุกเฉิน ก็จะไม่ต้องลำบากลำบนไปกู้หนี้ยืมสินให้ชีวิตมีภาระการออมเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ควรปลูกฝังการประหยัดเงินตั้งแต่อายุน้อย ลองมาดูทริคเด็ดๆ การออมเงินแบบง่ายๆ ให้ชาวLivingclubได้มี เพื่ออนาคตค่ะ

ออมเงิน

 

 

  1. ซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในที่ที่คุณคุ้นเคย เช่น โต๊ะทำงาน บนหัวเตียง เลือกเอาที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยจะได้ไม่ลืมใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยและหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ
  2. ทำแบบบันทึกรายรับรายจ่าย พกสมุดเล่มเล็กๆเอาไว้ หรือถ้าจะให้ทันสมัยหน่อยก็บันทึกในสมาร์ทโฟนเอาก็ได้
  3. หางานพิเศษ นอกเหนือจากรายได้ประจำ เพิ่มรายได้เพื่อนำมาเก็บออม วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับนักศึกษาทั้งที่เรียนอยู่และจบทำงานแล้ว
  4. ท่องคำว่า “ความจำเป็น” กับ “อยากได้” เพราะของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน ถ้าซื้อของเพียงแค่เพราะอยากได้ รับรองว่า กระเป๋าคุณฟีบอย่างแน่นอน
  5. เอาเงินไปฝากธนาคารแบบฝากประจำ อันนี้เป็นวิธีที่หลายคนนิยมปลอดภัยสุดๆเมื่อเม็ดเงินของคุณถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
  6. อย่าหลงคำโฆษณา เห็นแล้วดีแบบโน้นแบบนี้ ถ้าซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ก็ยิ่งสูญเปล่า
  7. ซื้อของลดราคา อย่างน้อยก็ประหยัดไปได้กว่าครึ่ง
  8. เรียนรู้กับหลักดำเนินชีวิตที่ในปัจจุบันกำลังนิยมมากคือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ในข้อนี้สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ในหลวงของเราทรงย้ำเตือนคนไทยมากว่าหลายปี เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอย่างยิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

 

Posted on

12ราศีกับธาตุ4ในที่ทำงาน

12ราศีกับธาตุ4ในที่ทำงาน

 

 12ราศี

 

นอกจากจะมีธาตุทั้ง 4 ของคนทั้ง 12 ราศีแล้ว (ประกอบไปด้วยธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุลม และธาตุไฟ ) ก็ยังมี “ธาตุทั้ง 4 ของที่ทำงาน” อีกด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหล่าบรรดาเพื่อนร่วมงานของชาวLivingciving โดยวิธีการสำรวจธาตุของที่ทำงานของคุณคือ ลองดูๆ ว่าเพื่อนร่วมงานคุณดูว่าเกิดในช่วงราศีใดกันบ้าง ตรงกับธาตุอะไรเป็นส่วนใหญ่ เหตุผลในการสำรวจ เพราะเนื่องจากบรรยากาศที่ทำงานนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากอิทธิพลของบุคลิกตามราศีของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะช่วยให้เราได้รู้ถึงจัดเด่นที่จะเป็นโอกาสอันดี และจุดด้อยที่คอยเป็นปัญหาให้กับเรา ถ้าจับจุดได้ละก็คุณก็จะทำงานได้ราบรื่นขึ้นแน่ค่ะ

 

 ออฟฟิศธาตุดิน

▪ ราศีของผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ ได้แก่
– ราศีมังกร (15 มกราคม ถึง 12 กุมภาพันธ์)
– ราศีพฤษภ (15 พฤษภาคม ถึง 14 มิถุนายน)
– ราศีกันย์ (17 กันยายน ถึง 16 ตุลาคม)

▪ ลักษณะเด่นของที่ทำงาน คือ มีการจัดการดีเยี่ยม และเป็นระบบชอบลงมือทำ เชื่อใจได้

▪ ข้อดี คือ คนกลุ่มนี้เก่งกาจในด้านการจัดการงานให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา และตรงตามงบประมาณที่ตั้งไว้ ยืดมั่นในสิ่งที่จับต้องได้ สามารถตรวจสอบได้ และวัดผลได้ ที่สำคัญคือต้องนำมาซึ่งผลประโยชน์และกำไร และทุกคนในกลุ่มนี้ ส่วนมากจะมีความชำนาญในเรื่องการเงิน และก็ยอมทำงานหนักเพื่อเงิน เพื่อรายได้ที่คุ้มค่า

 

▪ ข้อเสีย คือ การทำงานคนกลุ่มธาตุดินมักจะเป็นไปตามระเบียบวิธีที่วางไว้ตรงเป๊ะ ทำให้ดูจำเจ น่าเบื่อ และถ้าจะให้เปลี่ยนแปลง หรือ เริ่มอะไรใหม่ๆ แล้วละก็ ทำได้ยากสุดๆ เว้นแต่ว่าระบบระเบียบ หรือ อุปกรณ์เดิมที่ใช้อยู่มานั้น เกิดเสื่อมสภาพ เสียจนใช้ไม่ได้แล้วจริงๆ และกว่าจะยอมเปลี่ยนแปลงรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา คนกลุ่มนี้ก็จะต้องแน่ใจในทุกรายละเอียดก่อนว่า มีวิธีการที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลได้อย่างชัดเจนจริงๆ

 

 ออฟฟิศธาตุน้ำ

▪ ราศีของผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ ได้แก่
– ราศีมีน (15 มีนาคม ถึง 12 เมษายน)
– ราศีกรกฎ (16 กรกฎาคม ถึง 16 สิงหาคม)
– ราศีพิจิก (16 พฤศจิกายน ถึง 15 ธันวาคม)

▪ ลักษณะเด่นของที่ทำงาน คือ อ่อนไหว, ใช้อารมณ์เยอะ และมีระบบอุปถัมภ์ค้ำชู

▪ ข้อดี คือ เพื่อนร่วมงานมีน้ำใจ คอยช่วยเหลือ และมีความเข้าอกเข้าใจกันดี การที่แสดงอารมณ์ได้เยอะ ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดไอเดียดี และแปลกใหม่

▪ ข้อเสีย คือ งานจะไม่เป็นงาน เพราะมีความเกรงใจ คอยแต่กลัวจะทำร้ายจิตใจ โกรธเคืองกันบ้างละ และพอมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขก็ไม่ค่อยกล้าพูดกันตรงๆ คุณธาตุน้ำรู้ไหมว่าถ้ามัวแต่เกรงใจกันแบบนี้ ปล่อยปัญหาไปเรื่อยๆ จนบานปลาย มันก็จะกลายเป็นการทำร้าย เพื่อนร่วมงานเสียมากกว่า นอกจากนี้แล้ว ออฟฟิศแบบนี้ยังมักมีปัญหาอีกอย่างคือ ถ้าเกิดมีคนที่ชอบพูดตรงไปตรงมาหลุดเข้ามาทำงานด้วย ก็มักจะถูกรุมเกลียด เพราะคนธาตุนี้จะมองว่าทำร้ายคนอื่น ถึงแม้จะเป็นเรื่องงานก็ตามที จึงควรละมุนละม่อม พูดจาดีๆ กับเขาหน่อย

 

 ออฟฟิศธาตุไฟ

▪ ราศีของผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ ได้แก่
– ราศีเมษ (13 เมษายน ถึง 14 พฤษภาคม)
– ราศีสิงห์ (17 สิงหาคม ถึง 16 กันยายน)
– ราศีธนู (16 ธันวาคม ถึง 14 มกราคม)

▪ ลักษณะเด่นของที่ทำงาน คือ มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่น และความสร้างสรรค์

▪ ข้อดี คือ ทุกคนมีความสนุกในการทำงาน มีความกระตือรือร้นที่จะสร้างสรรค์งาน สิ่งใหม่ๆ ออกมา ชอบงานที่ท้าทายมากกว่าทำงานง่ายๆ ซ้ำซาก จำเจ ชอบทำงานสำคัญ และชิ้นใหญ่ และสามารถทำงานเป็นทีมเวิร์กได้ดี เพราะความเป็นคนใจกว้าง และมีความจริงใจ

▪ ข้อเสีย คือ ในความที่ตัวเองมีความกระตือรือร้นมาก ชอบคิดสิ่งต่างๆ ล่วงหน้า จนบางครั้งก็ทำให้กลัวเกินกว่าเหตุ จนทำให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่โตไปได้ ความที่ชอบทำงานสุดเหวี่ยงทุ่มสุดตัว จนบางครั้งอาจทำให้ล้าจนหมดไฟเอาซะงั้น ทั้งๆ ที่งานยังไม่เสร็จ และบางครั้งก็มีไอเดียฟุ่งจัดจนทำให้งานขุ่ย ขาดความละเอียดถี่ถ้วน ไม่รอบคอบ และถ้าต้องทำงานซ้ำๆซากๆ จำเจ หรือ ไม่อยู่ในความสนใจแล้วละก็ คนออฟฟิศนี้จะเบื่อขึ้นมาทันทีเลยละ ต้องคอยระวังให้ดีว่างานจะไม่เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาเอานะครับ

 ออฟฟิศธาตุลม

▪ ราศีของผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ ได้แก่
– ราศีกุมภ์ (13 กุมภาพันธ์ ถึง 14 มีนาคม)
– ราศีเมถุน (15 มิถุนายน ถึง 15 กรกฎาคม)
– ราศีตุลย์ (17 ตุลาคม ถึง 15 พฤศจิกายน)

▪ ลักษณะเด่นของที่ทำงาน คือ ทรงภูมิ, มีความคิด และชอบตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ

▪ ข้อดี คือ เป็นการรวมตัวกันของนักคิด ฉลาดหลักแหลม และมีหลักการ ชอบที่ได้ช่วยกันคิดจนได้ไอเดียเจ๋งๆ ออกมา และยังชอบคิดหาแนวทางการทำงานใหม่ๆ เพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้น

▪ ข้อเสีย คือ คล้ายๆ กับนักการเมืองนั้นละ ประมาณว่า ถึงจะช่างคิด แต่ไม่ค่อยลงมือทำสักเท่าไหร่ จึงทำให้ผลงานไม่ค่อยสำเร็จเสร็จสิ้นตามที่บอกไว้ และตามกำหนดเวลา ในความที่ชอบอวดรู้ อวดภูมิ ก็เลยเอาแต่นั่งถกเถียงปัญหากันอยู่นั่นละ สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ หรือ ตัดสินใจไม่ได้เลยสักอย่าง และออฟฟิศธาตุลม ยังไม่ค่อยใส่ใจในความรู้สึกกันเท่าไหร่ ก็ต้องแยกแยะกันให้ได้ระหว่างเรื่องงาน กับเรื่องส่วนตัวขอขอบคุณที่มาจาก9pyinfoค่ะคราวหน้าจะมีบทความอะไรดีๆนั้นอย่าลืมติดตามกันนะค่ะ

Posted on

ลูกค้าติเป็นเรื่องดี

801 เครื่องมือช่าง

การร้องเรียนของลูกค้าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาสำหรับเราหรือไม่? เป็นเพราะลูกค้าไม่ชอบใจในสินค้าและบริการของเรา? หรือเพราะผลิตภัณฑ์ของเราไม่ดีงั้นหรือ?

ไม่หรอก คำร้องเรียนจากลูกไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไปเสียทีเดียว หากลองมองจากอีกมุมหนึ่งเราจะเห็นว่า ทุกคำร้องเรียนเป็นสิ่งสะท้อนความในใจและความคาดหวังจากลูกค้า ที่หลายครั้งเกิดจากความใส่ใจ ซึ่งเราสามารถนำมาเป็นข้อมูลที่ดีต่อการพัฒนาธุรกิจได้อีกด้วย

แต่เราก็เห็นด้วยกับคุณ ว่ามันไม่ใช่ทุกความเห็นหรอก

ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่ช่างพูด

ในขณะเดียวกันการที่ไม่เคยมีลูกค้าร้องเรียนเลยก็ไม่ได้หมายความว่าเราบริการได้ดีเยี่ยมเสมอไป แต่อาจด้วยลักษณะนิสัยหรือวัฒนธรรมของคนชาตินั้นๆ ที่ไม่ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจของผู้อื่น เช่น คนไทยที่ขี้เกรงใจเมื่อต้องพูดเรื่องไม่ดีออกมาตรงๆ และไม่ชอบออกความเห็นเท่าไรนัก และด้วยนิสัยง่ายๆ อะไรก็ได้ จึงมักปล่อยเลยผ่านไปด้วยเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยถ้าเช่นนั้นหากอยากได้คำแนะนำจากลูกค้ากลุ่มนี้ เราก็ควรขอความเห็นตรงๆ เลยเพราะการรอให้เขามาบอกด้วยการเขียนใบแสดงความคิดเห็นหรือให้โทรศัพท์เข้าศูนย์บริการลูกค้า คำขอร้องของเราอาจไม่เป็นผล อย่ารอให้ลูกค้าเดินเข้ามาบอกเราเอง เราต่างหากต้องเป็นฝ่ายเข้าไปถาม อาจจะเป็นการสอบถามความพึงพอใจหลังจากลูกค้าใช้บริการหรือซื้อสินค้าทันที หรือเป็นฝ่ายโทรไปเองหากมีฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ นอกจากเราจะได้ข้อมูลตรงไปตรงมาแล้วยังเป็นการลดความเสี่ยงจะต้องไปเจอลูกค้าซึ่งไม่พอใจสินค้าบริการจะไปเขียนจดหมายร้องเรียนหน่วยงานของรัฐ หรือนำความรู้สึกแย่ๆ ไปเล่าต่อด้วยความโกรธเกรี้ยวตามเว็บบอร์ด ซึ่งนั่นไม่ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจของเราเลยแม้แต่น้อย และยิ่งยากเพราะต้องแก้ไขปัญหาระยะยาวแน่นอน ดังนั้นควรสนใจลูกค้าก่อนเสมอ อย่าปล่อยให้เรื่องลุกลามแล้วค่อยแก้ไข

ไม่ใช่ทุกคำร้องที่เป็นคำติ

ไม่ใช่เพราะต้องการจะตำหนิดุด่า หลายครั้งที่เจตนาของลูกค้าที่ร้องเรียนเรื่องการบริการนั้น ไม่ได้ต้องการตำหนิติเตียนอะไรเลยเลยก็ได้ เขาอาจแค่รู้สึกผิดหวัง และที่สำคัญ คือ เขาเหล่านั้นต่างคาดหวังว่าหลังจากร้องเรียนแล้ว เมื่อกลับมาคราวหน้าจะได้พบสินค้าหรือบริการที่ดีกว่าเดิม หวังให้เราพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

แต่ในขณะที่ร้องเรียนนั้น สถานการณ์โดยมากมักไม่เป็นใจ (สำหรับลูกค้า) และอาการช็อคจากความผิดหวังที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมเป็นธรรมดาที่จะพาให้อารมณ์รุนแรงของทุกคนพลุ่งพล่านขึ้นได้อย่างง่ายได้

ยิ่งไปกว่านั้นความเห็นในเชิงคำร้องจากลูกค้านั้น หากเราใส่ใจในการซักถามและตั้งใจฟังจนพบแก่นแท้ของสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้แล้วนั้น คำร้องเหล่านี้จะกลายเป็นข้อมูลที่ยอดเยี่ยม เพราะนอกจากจะมากลุ่มลูกค้าหลักของเราแล้ว ข้อมูลยังเป็นข้อมูลจริง ไม่มีการบิดเบือนหรือการตอบแบบลวกๆ และดูเหมือนลูกค้าจะเต็มใจให้ข้อมูล (พูดมากๆ เพื่อระบายข้อมูลและความคับข้องใจออกมาให้มากที่สุด) หลายครั้งเป็นข้อมูลเชิงลึกกว่าการทำแบบสอบถามทั่วๆ ไปอีกด้วย

ไม่ใช่ทุกคำร้องประนีประนอมไม่ได้

แล้วจะทำยังไงเมื่อลูกค้าร้องเรียน จริงๆ แล้วเรารับมือเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพียงแค่ใส่ใจเสียงเรียกร้องให้มาก (ตั้งใจฟัง) และจริงใจต่อการแก้ปัญหา (เต็มใจแก้)

เหมือนหลักลาเต้ (LATTE Method) ซึ่งเป็นแนวทางการรับมือลูกค้าของร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbucks ที่เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรอบรมพนักงานทั่วโลกซึ่งให้ความสำคัญกับการรับมือ Customer Complaints โดยเฉพาะ ธุรกิจกาแฟชื่อดังสอนพนักงานให้รับมือกับความไม่พอใจของลูกค้าตามลำดับ ดังนี้

L – Listen รับฟัง เก็บข้อมูลว่าลูกค้าไม่พอใจอะไรอย่างละเอียด
– Acknowledge เข้าใจปัญหาของลูกค้าอย่างแท้จริง
T – Take action ลงมือแก้ไขปัญหา
T – Thank you ขอบคุณลูกค้าที่ให้คำติชม
E – Explain ค่อยอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจว่าปัญหาเกิดจากสิ่งใดในภายหลัง

สิ่งสำคัญที่สุดในการจัดการเรื่องลูกค้าร้องเรียน คือลงมือจัดการมันอย่างรวดเร็ว (โดยมากยึด SLA หรือ Service Level Agreement ภายใน 24 ชั่วโมง) อย่าปล่อยทิ้งไว้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจากที่ลูกค้าเพียงแค่ไม่พอใจอาจกลายเป็นลุกลามใหญ่โตขึ้นจากความไม่ใส่ใจ จนในที่สุดแม้เราแก้ปัญหาได้พร้อมทั้งมอบสิ่งของแทนคำขอโทษก็ตาม ก็อาจไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นในภาพรวมได้เลยก็เป็นได้

แต่ถึงเราจะขอร้องให้คุณตอบสนองโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม เราเห็นด้วยว่าในคำร้องทั้งหมดนั้นมีทั้งข้อเรียกร้องที่จริงใจ และการเรียกร้องแบบเกินพอดีปะปนกัน กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือการ “ฟัง” ปัญหาของลูกค้าให้ดี แล้วจึงค่อยๆ วิเคราะห์ แยกแยะความปรารถนาของลูกค้าออกให้ชัดเจน เพื่อเราจะทั้งรู้เท่าทัน และตอบสนองลูกค้าชั้นดีที่เป็นเหมือนผู้ตรวจสอบบริการชั้นยอดให้กับเราได้อย่างถูกต้อง

ที่มา  INCquity

Posted on

อีกด้านหนึ่งของหัวหน้าสุดโหด

"Don't blame the boss. He has enough problems." ~Donald Rumsfeld • photo belongs to Kmo139 เครื่องมือช่าง

“Don’t blame the boss. He has enough problems.” ~Donald Rumsfeld • photo belongs to Kmo139

บนเวที American Idol ผู้เข้าแข่งขันกลุ่มหนึ่งต้องพบเจอกับ แพตตี้ เทรนเนอร์สุดโหด ที่เสียงดัง เกรี้ยวกราดใส่บรรดาลูกทีมจนขยาดไปตามๆ กัน แต่ในความโหดของแพตตี้ เธอทำให้ลูกทีมเห็นคุณค่าในตัวเองจนกลายเป็นนักร้องคุณภาพทั้งเรื่องการร้องและการแสดงสดในที่สุด

เพราะไม่มีใครเก่งกาจมาตั้งแต่เกิด ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายบนโลกใบนี้จึงล้วนต้องเคยก้าวผ่านความขื่นขมของการถูกด่าทอ ดูถูกโดยคุณครู พี่เลี้ยงหรือแม้แต่หัวหน้ามาแล้วทั้งสิ้น จนกระทั่งเมื่อถึงวันแห่งความสำเร็จของเรา เราเองก็อดจะนึกถึงใบหน้าของผู้ที่ขัดเกลาเราด้วยความจริงจังเหล่านั้นอยู่ในใจไม่ได้

ในชีวิตการทำงาน ก่อนที่เราจะเก่ง มีความสามารถและยืนหยัดบนสายงานที่ต้องการได้ คนๆ หนึ่งที่มีอิทธิพลต่อเราไม่น้อยก็คือหัวหน้าของเรา ซึ่งหากคุณเป็นพนักงานใหม่หรือเด็กจบใหม่ องค์กรอาจคาดหวังให้คุณเจอะเจอความกดดัน หรือกระทั่งคำด่าทอที่กลายเป็นบาดแผลในความรู้สึก แต่เมื่อวันหนึ่งที่ปรับตัวและเรียนรู้ได้ เราจะรู้จักการับมือกับความรู้สึกเหล่านี้ และมองข้ามถ้อยคำเหล่านั้น กระทั่งมองเห็นแก่นแท้อันสำคัญจนสามารถนำประโยชน์ที่ได้จากสิ่งที่ฟังมาเหล่านั้นมาใช้ในการทำงาน

ผ่านความเจ็บปวดเพื่อที่จะเติบโต

โจดี กลิคแมน เจ้าของหนังสือ Great on the Job ที่เคยร่วมงานกับหัวหน้าที่ชื่อว่า วิล ตอนที่อยู่ในวอลล์สตรีท วิลเป็นหัวหน้าที่ชาญฉลาดและหนักแน่น และขณะเดียวกันก็ดูเหมือนไม่มีความปรานีต่อความผิดใดๆ จนทำให้เพื่อนๆ ขยาดที่จะร่วมงานด้วย แต่โจดีกลับหาโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเขา ยิ่งกลัวเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากเอาชนะความกลัวของตัวเอง เพราะโจดีคิดว่าหากไม่สามารถร่วมงานกันได้ การทำงานและชีวิตในวอลล์สตรีทก็อาจไม่ราบรื่น โจดีจึงตัดสินใจว่าตนจะทนเจ็บแต่ก็จะต้องเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

แล้วโจดีก็ได้พบความจริงที่ว่าเขาและวิลมีอารมณ์ขันคล้ายกันกัน โจดีเริ่มสนิทกับวิลมากขึ้นแม้เมื่อทำอะไรผิดก็ตาม ในที่สุด เธอก็เอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ซึ่งก็เกินความคาดหวังของวิลไปมาก โจดีไม่เคยลืมเสียงไชโยของวิลเมื่องานสำเร็จ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณบอกให้คนอื่นรู้ว่าเธอทำได้ และสิ่งที่เธอได้จากทั้งหมดนี้คือการค้นพบความการศรัทธาในความสามารถของตนเอง

การทำงานกับหัวหน้าที่เก่งนั้นคือความท้าทาย ถ้าการวิ่งหนีโอกาสเหล่านั้นมาตลอดไม่ได้ให้อะไรใหม่ไม่เคยให้ชีวิตหรือหน้าที่การงานที่เร้าใจแก่คุณเลย บางทีถ้าตื่นขึ้นในวันพรุ่งนี้ เราได้พบหัวหน้าจอมเนี้ยบอีกครั้ง ทำไมเราไม่ลองหาโอกาสหรือพยายามร่วมงานให้ตลอดรอดฝั่งไปให้ได้ดูล่ะ? ในทุกครั้งที่โดนดุด่า ถ้านั่นคือความหวังดี ถ้ามองที่เจตนามากกว่าอารมณ์ที่เขาส่งผ่านออกมา เก็บเกี่ยวความรู้จากหัวหน้าให้ได้มากที่สุด บางทีนั่นอาจเป็นอุปสรรคเดียวที่ขัดขวางคุณจากการเรียนรู้เคล็ดลับแห่งความสำเร็จจากคนที่เต็มใจจะสอนคุณ ที่คุณเองอาจไม่เคยก้าวเข้าไปถึงมาก่อนก็เป็นได้

 

ที่มา INCquity

Posted on

ดูให้ชัวร์ว่าเป็นงานที่ใช่

"Choose a job you love, and you will never have to work a day in your life." ~Confucius • photo belongs to photologue_np เครื่องมือช่าง

“Choose a job you love, and you will never have to work a day in your life.” ~Confucius • photo belongs to photologue_np

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ถ้าได้ทำงานที่ตัวเองรัก คุณจะไม่รู้สึกว่าคุณกำลังทำงานอยู่เลย”

คล้ายกับการรู้จักคนรักในทุกแง่มุม ทุกครั้งที่เราตกลงใจเลือกว่าเราจะทำงานใดงานหนึ่ง นอกจากการตกลงปลงใจกับรูปลักษณ์ที่สวยงามด้วยการอ่านหรือสอบถาม Job Description หรือถูกใจกับบรรดาญาติมิตรที่แวดล้อมตำแหน่งงาน แต่ในส่วนที่ลึกกว่านั้นล่ะ? เวลาที่เราต้องใช้ฉันท์คนรักที่ต้องอยู่กับงานตลอดเวลา ต้องคิดต้องทำและหมั่นปรับแต่งหน้าที่ให้สมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้ย่อมต้องมีความรักหรือความเข้าใจในเนื้องานมาเกี่ยวข้องด้วยเป็นสำคัญ

หลังการอ่านประกาศรับสมัครงานที่มีรายละเอียดงานเพียงผิวเผิน และก่อนตกลงปลงใจ มีอยู่ 3 ประเด็นที่เราอยากชวนให้คุณหาคำตอบให้แน่ใจก่อน (ทั้งก่อนและระหว่างการสัมภาษณ์งาน) แล้วค่อยตกลงปลงใจว่าเราจะอยู่กับอาชีพนี้ด้วยเหตุผลที่ดีพอหรือไม่ อย่างไร

1. ต้องทำอะไรบ้าง

เราควรได้ทราบว่าตำแหน่งงานของเรานั้นมีหน้าที่ทำอะไร และไม่ต้องทำอะไร โดยก่อนการสัมภาษณ์ครั้งแรกนั้นควรทำการดูรายละเอียดของงานเป็นอย่างดี แต่ต้องเข้าใจว่ารายละเอียดของงานส่วนใหญ่จะบอกได้แค่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น บางอันก็เข้าใจยากและยังมีบางส่วนที่รายละเอียดเป็นของเก่าซึ่งไม่ตรงกับตำแหน่งในปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นทางที่ดีคือควรจะเตรียมคำถามไปให้พร้อมในการสัมภาษณ์เพื่อให้เข้าใจในหน้าที่มากขึ้น เช่น ถามว่าในแต่ละวันเราจะต้องทำอะไรบ้าง? ใครบ้างที่เราต้องทำงานด้วย? เราต้องตัดสินใจกับอะไรบ้าง? และมีอะไรที่เราต้องรับผิดชอบบ้าง?

หลังจากนั้นควรศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่การงานนั้นให้ละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งหลังจากที่ได้รับข้อเสนอจากนายจ้าง และคิดให้ดีก่อนที่คุณจะตอบรับ พร้อมกับติดต่อสอบถามในรายละเอียดที่มากขึ้น โดยสำหรับคำถามในส่วนนี้คุณก็สามารถเลือกใช้คำถามแบบถามที่เจาะลึกและถามตรงๆ ได้มากขึ้น

2. จะก้าวหน้าได้ไหม

ในหัวข้อเราควรเริ่มจากการประเมินตัวเองก่อน ประเมินหน้าที่, สิ่งที่ต้องรับผิดชอบและการเข้าหาคนที่เหมาะสมที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ พยายามให้ความสนใจกับหัวหน้าในอนาคตของคุณด้วยถึงแม้ว่าเขาหรือเธอจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม และต้องมั่นใจด้วยว่าหน้าที่การงานของคุณนั้นจะไม่มีการปิดโอกาสในการก้าวหน้าด้วย

โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องมั่นใจก่อนว่าเราเตรียมพร้อมสำหรับหน้าที่นั้นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือประสบการณ์ใดๆ ล้วนถูกนำมาใช้ในวันแรกของการทำงานแทบทั้งสิ้น คุณอาจจะต้องการงานที่มีความกดดันบ้างเพื่อพัฒนาตนเอง แต่อย่าให้มากเสียจนเกิดความเสี่ยงที่จะทำมันล้มเหลว ความท้าทายในอาชีพเป็นสิ่งที่ดีแต่เราก็ควรคิดให้ดีว่าเราสามารถทำมันได้

3. จะได้เรียนรู้อะไรไหม

ลองคิดดูว่าเราคาดหวังที่จะได้เรียนรู้อะไรในตำแหน่งนั้น เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจและลองหันกลับมาดูอีกครั้งหลังจาก 6 เดือนหรืออีก 1 ปีข้างหน้า เพื่อเช็คดูว่าเราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราต้องการแล้วจริงๆ อีกทั้งต้องพยายามบอกให้ได้ว่าใครที่จะเป็นแบบอย่างการทำงานของเรา เพื่อที่จะได้เรียนรู้ถึงแนวทางการทำงานในสายอาชีพนั้นๆ

ที่มา  INCquity

Posted on

พึงระวัง 5 บ่วงอันตราย ของคนทำงานมือใหม่

ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางให้กับบัณฑิตที่จบใหม่ ในการดำเนินชีวิตวัยทำงาน บริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จึงนำเสนอ 5 บ่วงอันตรายของคนทำงานมือใหม่ รายละเอียดจะมีอะไรบ้างนั้น ติดตามได้เลย

 

 

1. ราชาเงินผ่อน – เมื่อเริ่มมีเงินเดือนประจำ บรรดาเหล่าธนาคารต่าง ๆพร้อมยินดียื่นข้อเสนอให้คุณมีบัตรเครดิตไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ด้วยวงเงินที่มากกว่าเงินเดือนหลายเท่า และอาจทำให้หลายคนตื่นตาตื่นใจ เพราะเริ่มเห็นหนทางที่จะได้สิ่งของที่ต้องการมาอย่างง่ายดาย โดยไม่คิดถึงบั้นปลายที่ต้องผ่อนจ่ายด้วยอัตราดอกเบี้ยอันหนักอึ้ง และถ้าคุณใช้เกินตัวรูดปรื๊ดๆ กับสิ่งของดับกิเลสแถมผ่อนจ่ายไม่ตรงกำหนด ในที่สุดคุณเองอาจหน้ามืดกับดอกเบี้ยที่บานเบอะ มียอดหนี้รุมเร้าไปชั่วนาตาปีเลยทีเดียว

2. หลงภาพโซเชียล – สำหรับคนทำงานมือใหม่หลายคนมักติดกับดัก หลงเชื่อภาพในโลกโซเชียลมีเดียของเพื่อนที่มักโพสต์อวดแต่เรื่องดีๆ หรู ๆ ร้านอาหารดังเสื้อผ้าสวยๆ ยี่ห้อสุดฮิต หรือของแบรนด์เนมโดยไม่คำนึงว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพจริงหรือภาพลวงตากันแน่ จึงทำให้เกิดความอยากได้ อยากมี และอยากอวดคนอื่นบ้าง

ถึงขนาดยอมทุ่มเงินเดือนทั้งเดือน หรือยอมเป็นราชาเงินผ่อน เพื่อจับจ่ายให้ได้ของเหล่านั้น โดยไม่มองว่าเหมาะสมกับรายได้ของตนหรือไม่ จนทำให้เงินที่มีอยู่ชักหน้าไม่ถึงหลัง บ่วงนี้จึงอันตรายยิ่งนัก เพราะคนทำงานมือใหม่สมัยนี้มักมีทัศนคติที่ว่าเสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้

3. โชว์ชีวิตสุดโก้ – คนทำงานยุคใหม่จะมีเทรนด์การใช้ชีวิตที่ต่างไปจากคนรุ่นก่อน ด้วยสังคม ค่านิยม และทัศนคติที่เปลี่ยนไป เมื่อชีวิตเพิ่งเริ่มทำงาน บางคนอยากมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง เช่น อยากซื้อบ้าน, อยากมีคอนโดมิเนียม, อยากถอยรถป้ายแดง และอยากถือกระเป๋าแบรนด์เนม ความอยากมีทรัพย์สินเป็นของตนเองไม่ใช่สิ่งผิด ถ้าเรารู้จักประมาณตน แต่บางคนอยากได้เพียงแค่โชว์ชีวิตสุดโก้ให้สังคมได้รับรู้ และยอมรับในสถานะของตน โดยไม่คำนึงถึงรายได้ หรือความมั่นคงในอาชีพที่ทำอยู่มีรายได้เพียงน้อยนิด แต่คิดซื้อทั้งรถและบ้าน สุดท้ายค่าใช้จ่ายบานปลาย กลับกลายเป็นทั้งบ้านและรถถูกยึดไป คราวนี้เสียต่อหน้าต่อตาเสียเอง

4. สังคมจ๋า ปาร์ตี้จัด – นี่ก็เป็นอีกหนึ่งบ่วงอันตรายที่ทำร้ายคนทำงานมือใหม่มานักต่อนัก เพราะในสังคมออฟฟิศมักมีการสังสรรค์ เที่ยว ช็อป ชิลร่วมกันเสมอๆ จนบางคนเสพติด ฟิตจัดนัดกันทุกสุดสัปดาห์ และยิ่งหากคุณเป็นคนปฏิเสธเพื่อนไม่เป็นด้วยแล้ว ระวังให้ดี…เงินในกระเป๋าจะฟีบแบนก่อนสิ้นเดือนแน่นอน

5. ผีพนันเข้าสิง – พฤติกรรมนี้อาจติดตัวมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่บางคนก็มาเสียคนตอนทำงานก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะชายหนุ่มที่โดยพื้นฐานมักชอบการแข่งขัน ท้าทาย รักสนุก ยิ่งทำงานมีรายได้ ก็เกิดอยากรู้อยากลองตามสังคมกลุ่มเพื่อน

ตอนแรกอาจคิดว่าลองดูเล่นๆ เพื่อความมันส์ สนุกสนาน แต่นานวันเข้ากลับเสพติดการพนันโดยไม่รู้ตัว ประหนึ่งมีอะไรมาเข้าสิงจนสติกระเจิง ไม่สามารถลด ละ เลิกได้ ทั้งโต๊ะบอล โต๊ะม้า การพนันออนไลน์ เล่นทุกนัด พนันทุกแมตช์ ไม่มีพลาดสักสำนัก ถ้าเป็นแบบนี้ก็สิ้นเนื้อประดาตัวกันแน่นอน

ถ้าทำเช่นนี้ได้ จะเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตให้กับคนทำงานมือใหม่เป็นอย่างดี

ที่มา jobdb.com

Posted on

7 วิธีออมเงิน ที่จะทำให้คุณรวยไม่รู้ตัว

7 วิธีออมเงิน ที่จะทำให้คุณรวยไม่รู้ตัว

 

1. แบงค์ 50 ห้ามใช้
ซื้อของแม่ค้าทอนเงินมาเป็นแบงค์ 50 เมื่อไหร่ จงท่องไว้เลยไว้ ห้ามใช้ !! ลองเก็บดูซัก1เดือน แล้วมานับ จะเก็บได้หลายพันอย่างไม่น่าเชื่อเลยแหละค่ะ
2. เก็บเข้ากระปุกออมสินเท่ากับข้าวกลางวันทุกมื้อ
ข้าวกลางวันออกไปทานข้างนอก ใช้เงินไปจำนวนกี่บาท ให้เก็บเงินหยอดกระปุกออมสินกลับไปเท่านั้น ห้ามมีข้ออ้างเก็บน้อยกว่าเด็ดขาด หลายคนอาจจะคิดว่าจำนวนไม่เยอะหรอก แต่ครบเดือนลองมานับดูซิ แล้วคุณจะอึ้ง!!!!!!!!!!!!
3. เก็บแบงค์ใหม่ ใช้แบงค์เก่า
หากเจอแบงค์ใหม่แบบไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน  ให้จัดการเก็บไว้เลย แต่ถ้าเจอแบงค์ใหญ่ๆอย่าง 500 หรือ 1000 เก็บไม่ได้จริงๆ ต้องใช้ ก็เริ่มจากแบงค์เล็กอย่าง แบงค์ 20 หรือ 100 ก่อนก็ได้ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการออมเงิน
4.แบ่งเงินใส่ถุง
วิธีนี้หลายคนน่าจะเคยเห็น และมันเป็นวิธีที่ได้ผลจริงๆ !! จะทำให้เรารู้ลิมิตการใช้เงินในแต่ละวัน และวางแผนล่วงหน้า แบบปลายเดือนไม่มีทางช๊อตแน่นอนค่ะ
5. แยกกระปุก
ถ้าเป็นคุณคนชอบเที่ยวแนะนำวิธีนี้เลย มีหลายๆกระปุกแล้วแปะป้ายชื่อ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น เชียงใหม่ ภูเก็ต รับรอง พอถึงเวลาไปเที่ยว เรามีเงินพอ โดยไม่ต้องไปรบกวนเงินเดือนนั้นๆแน่นอนค่ะ
6.เก็บเหรียญ แต่ละวันเหลือเหรียญกี่บาทหยอดออมสินให้หมด 
การเก็บเงินเหรีญอาจต้องใช้กระปุกใหญ่หน่อย เพราะเงินเหรียญที่เหลือใช้ในแต่ละวัน เยอะมากๆ เพียงเดือนเดียวคุณอาจเก็บได้ถึงพันบาทเชียวนะค่ะ
7. หักเศษเงินเดือน
สมมุติได้เงินเดือน 19,700 บาท ลองหัก 700 บาทออกมาเก็บไว้ดูซิ เป็นฤกษ์งามยามดี เริ่มต้นของการเก็บเงินวันแรกของเดือน
วันนี้เราก็มาแนะนำวิธีการเก็บเงินแบบง่ายๆที่ทำได้จริงถึง 7 วิธี !
ส่วนชาวLivingclick คลับ คนไหน มีวิธีการเก็บเงินแบบแปลก ก็มาแชร์กันบ้างนะค่ะ…
ขอบคุณข้อมูลจาก
cosmenet.in.th
ขอบคุณรูปภาพจาก
www.pantip.com

 

Posted on

ร้านกรีนเฮิร์บ

อยากเปิดร้านออนไลน์มานานแล้ว  แต่มีทุนไม่มาก แล้วก็ไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน แล้วยังต้องดูแลครอบครัวด้วย จึงต้องมีเวลาที่ยืดหยุ่นมากๆ เลยคิดว่าขายของบนอินเตอร์เน็ตน่าจะเหมาะ  เพราะทำธุรกิจอยู่ที่บ้านก็ได้ แต่พอลงมือทำ จริงๆ อุปสรรคอย่างแรกคือ ไม่รู้เทคนิคเบื้องหลังเลยสักอย่าง  เคยแต่เล่นเฟสกับเพื่อน คิดว่าแค่โพสต์สินค้าก็ขายได้แล้ว  ลองอยู่หลายเดือนไม่ก้าวหน้าเลย เดี๋ยวนี้แค่มีหน้าร้านออนไลน์ ไม่ได้หมายความว่าจะขายของได้ เพราะการแข่งขันสูง เราก็ต้องโปรโมทร้านเราด้วย  โอย..ปวดหัวเลย จะซื้อโฆษณายังไง  SEO คืออะไร  คีย์เวิร์ดคืออะไร คำถามเต็มหัวไปหมด  คิดว่าจะเลิกแล้วไปหาเช่าที่ขายของตามแบบเดิมๆดีกว่า ยอมลงทุนจ้างคนไปขายแทน แต่ก็ไม่เวิร์คอีก พอดีมีเพื่อนมาแนะนำให้ลองเปิดร้านที่ลิฟวิ่งคลิก.คอม เขามีทีมมืออาชีพทำให้เราหมด เราก็ทำหน้าที่ดูแลลูกค้าอย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเทคนิคอะไรต่างๆ

 

    

ลองใช้บริการดู ใช่เลย เราไม่ต้องวุ่นวายเรื่องเทคนิค เรื่องภาพกราฟฟิก อัพเดทสินค้าใหม่ โปรโมทร้าน ไม่ต้องยุ่งเลย เหมือนมีทีมทำงานของตัวเอง  ปรึกษาได้ตลอด

ตอนนี้สบายใจมาก ร้านเรามีลูกค้าประจำ ลิฟวิ่งคลิกเขาช่วยสร้างให้ เราก็เซอร์วิสลูกค้าได้เต็มที่  มีเวลาคิดขยายธุรกิจได้อีก

ร้านกรีนเฮิร์บ อยู่กับลิฟวิ่งคลิก.คอม  ตั้งแต่ เม.ย 56